Get PR advice to
grow your business

for FREE!!

Free advice. CLICK!!

BLOG

ถอดรหัสความสำเร็จ 3 แบรนด์เด่นแห่งปี

June 6, 2017 | admin

เข้าสู่ครึ่งปีหลัง เรามาลุ้นกันว่าเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกจะเดินไปทิศทางใด หลังจากต้องเผชิญกับความผันผวนจากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงการลงประชามติขอถอนตัวจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ หรือ Brexit ที่ทุกคนทราบผลกันแล้ว ก็ต้องติดตามกันต่อไปครับว่า ผลพวงที่จะตามมามีอะไรบ้าง จะกระทบกับไทยเรามากน้อยแค่ไหน
วันก่อน ไปร่วมงานที่สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ในฐานะ Commentator และวิทยากรบรรยายปิดหลักสูตรอบรม Super Brand Manager รุ่นที่ 30 ซึ่งจัดกันมาอย่างต่อเนื่อง มีทั้งเนื้อหาที่เข้มข้น รวมถึงกรณีศึกษาจากผู้บริหารมืออาชีพระดับประเทศ ที่ล้วนประสบความสำเร็จในการสร้าง
แบรนด์ โดยธีมหลักของปีนี้ คือ ‘เคล็ดลับวิธีปั้นของดีในมือ ให้ลือลั่น’ สิ่งที่น่าชื่นชม คือ บรรดานักการตลาดกว่า 30 ชีวิตที่มาร่วมเรียน ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ล้วนเป็นระดับมืออาชีพ และมีมุมมองด้านการตลาดที่น่าสนใจ โดยเฉพาะที่ต้องยกนิ้วให้ คือ การวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดและผู้บริโภค การจัดทำ Market & Consumer Insight นั้นเรียกว่า ระดับมือพระกาฬกันเลยทีเดียว
ที่เป็นเช่นนั้น เพราะนักการตลาดที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์ดัง มาลงเรียนกันเองในหลักสูตรนี้ จึงทำให้มีข้อมูลที่เจาะลึกแบบหาไม่ได้ที่ไหน จึงขอนำบางส่วนมาเล่าสู่กันฟัง ในการ ถอดรหัสความสำเร็จของ 3 แบรนด์สินค้าที่กำลังมาแรงในยุคนี้ นั่นคือ ยามาฮ่า ข้าวพันดี และเบทาโกร อยากรู้ว่าเบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์เหล่านี้คืออะไร ตามผมมาครับ
เริ่มที่ ยามาฮ่า ซึ่งดำเนินธุรกิจในไทยมานาน ภาพรวมการตลาดปีนี้มียอดขายเติบโตขึ้นมาก โดยปัจจัยหนุนคือตลาดรถจักรยานยนต์ประเภทบิ๊กไบค์ขยายตัวแรงมาก ซึ่งยามาฮ่าสามารถทำตลาดตรงนี้ได้ด้วยการส่งบิ๊กไบค์ออกมาตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุม เพราะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยการเก็บข้อมูลจากกลุ่มผู้บริโภคและใช้สื่อออนไลน์ในการแนะนำศูนย์บริการเพื่อเป็นการเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตสู่ผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วทันใจ รวมถึงแอพพลิเคชันที่ให้ผู้บริโภคศึกษาข้อมูลได้ อีกทั้งยังสามารถออกแบบได้ด้วยว่าต้องการให้บิ๊กไบค์ของตนเป็นแบบไหน ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งหนึ่งที่ทำได้ดี
ยามาฮ่าเน้นสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดูเข้มแข็ง strong และมุ่งยกระดับแบรนด์ให้เทียบเท่าแบรนด์ยุโรปอย่าง BMW, DUCATI ให้ได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ชัดเจน ขณะที่อีกกลยุทธ์ที่ใช้อย่างต่อเนื่องคือ อีเวนต์มาร์เก็ตติ้ง โดยจัดคอนเสิร์ตเพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นกลุ่มผู้ชายอายุ 20-35 ปีที่มีไลฟ์สไตล์เป็นของตนเอง รักอิสระ
สรุปได้ว่ากลยุทธ์สำคัญในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของยามาฮ่าประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1. สร้างสรรค์กิจกรรมส่งเสริมภาพลักษณ์ภายใต้แบรนด์แคมเปญใหญ่ “Revs Your Heart” ที่ยามาฮ่าใช้สื่อสารทั่วโลกต่อเนื่อง 3 ปี และเน้นกลยุทธ์การตลาดแบบดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งที่สร้างสรรค์และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสภาพการแข่งขันทางการตลาดยุคใหม่
2. สร้างยอดขายที่มากขึ้นให้กับผู้จำหน่าย ด้วยการเพิ่มสินค้าใหม่ที่มีศักยภาพในการแข่งขันสูง และสร้างความแตกต่างด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ เน้นที่กลุ่มวัยรุ่นที่กำลังเข้าสู่ตลาด
3. รักษาฐานลูกค้าด้วยบริการหลังการขาย ขยายเครือข่ายโชว์รูมยามาฮ่าสแควร์ ปรับปรุงศูนย์บริการให้มีมาตรฐานสูงขึ้น พร้อมโชว์รูมและขยายเครือข่ายอะไหล่ในพื้นที่เพื่อตอบรับความต้องการของลูกค้าและผู้ใช้รถจักรยานยนต์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

มาดูแบรนด์ที่สอง เครือเบทาโกร อีกหนึ่งบริษัทที่พลิกวิกฤตเป็นโอกาสด้วยการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ เพื่อให้หลังบ้านมีความแข็งแกร่งและเดินไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ นั่นคือการนำพาองค์กรก้าวสู่รายได้ 1 แสนล้านบาทในสิ้นปี 2559 นี้ ซึ่งกลยุทธ์ที่เครือเบทาโกรนำมาใช้ คือ การปรับลดหน่วยการทำงานจาก 4 ส่วน เหลือเพียง 2 ส่วน คือ ธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม และธุรกิจอาหาร เพื่อให้ธุรกิจมีความคล่องตัวที่จะเดินต่อไปข้างหน้ามากยิ่งขึ้น
ทิศทางการดำเนินธุรกิจอาหารของบริษัทปีนี้จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ และสามารถตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบาย โดยปีนี้มีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มไส้กรอกไขมันต่ำเข้ามาทำตลาดเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค
เบทาโกรมีแผนที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในกลุ่ม Reduce, Plus และ Free ready to Eat อีกไม่ต่ำกว่า 100 รายการ ขณะเดียวกันก็จะพัฒนาช่องทางการจำหน่ายควบคู่ไปด้วย โดยมุ่งขยายแผงอนามัยเนื้อหมูเนื้อไก่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมกับเพิ่มการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโมเดิร์นเทรด ฟู้ดเซอร์วิส หรือร้านค้าทั่วไป
นอกจากนี้ ยังได้ลงทุนระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) อย่างเต็มรูปแบบเพื่อเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานและเชื่อมโยงระบบงานต่างๆ ขององค์กรเข้าด้วยกัน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกันยังได้มีการตั้งศูนย์นวัตกรรมอาหาร เพื่อเป็นศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งในส่วนของสินค้าใหม่และบรรจุภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของตลาดและลูกค้า อีกทั้งยังพัฒนาองค์กรความรู้ การให้ข้อมูลเชิงเทคนิค ตลอดจนการแก้ไขปัญหาให้กับลูกค้าในกลุ่มธุรกิจอาหารควบคู่กันไปอีกด้วย
เพราะเครือเบทาโกรมองเห็นศักยภาพของการขยายธุรกิจในประเทศว่ายังมีโอกาสให้สร้างรายได้อีกมาก แม้ว่าปัจจุบันภาพรวมเศรษฐกิจของไทยจะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่หากมีการเตรียมความพร้อม ไม่ว่าจะเป็นในด้านของบุคลากร สินค้า ช่องทางจำหน่ายและบริการที่ดีเยี่ยม ตลาดในประเทศก็ยังถือเป็นตลาดที่ใหญ่ เนื่องจากธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ในแต่ละวัน
สุดท้าย แบรนด์ ข้าว 1000 ดี ที่มาพร้อมสโลแกน ข้าวไทยพันธุ์ดี ปลูกดี ผลิตดี การันตีระดับโลก เพื่อให้คนไทย อยู่ดีกินดี มาจากต้นกำเนิดของเจตนารมย์ในการสร้างกิจการเพื่อคัดสรรข้าวไทย ตั้งแต่สายพันธุ์ของไทยแท้ที่มีคุณสมบัติดี ปลอดภัย และนุ่ม หอม อร่อย สมศักดิ์ศรีของข้าวไทย สู่กระบวนการเพาะปลูกในพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ ให้ข้าวแต่ละเมล็ดมีแร่ธาตุจากผืนนาที่มีคุณค่า จากใจและมือของพี่น้องชาวนาไทยที่เปี่ยมด้วยความรักในการเพาะปลูกข้าวที่ดี เข้าสู่กระบวนการผลิตในโรงงานที่ได้มาตรฐาน คำนึงถึงความสะอาด ปลอดภัยตามหลักสากลที่เข้มงวดในทุกขั้นตอนการผลิตสู่การบรรจุ เพื่อให้ข้าวพันดีแต่ละเมล็ดคงคุณค่าทั้งความอร่อย และคุณค่าสารอาหารจากต้นกำเนิดสู่ผู้บริโภคในทุกครัวเรือน
เกือบ 6 ปีแล้วที่ข้าวพันดีเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภคคนไทย ด้วยความตั้งใจของ บริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด กับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง คือ บริษัท เอเชีย โกลเด้นไรซ์ จำกัด (AGR) ผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของไทย
และด้วยเหตุที่ตลาดข้าวในไทยมีการแข่งขันกันสูง ทำให้ ข้าวพันดี ต้องกำหนดจุดขายไปที่การผลิตข้าวคุณภาพ โดยร่วมมือกับทาง AGR ที่มีหลักคิดเดียวกับทางสิงห์ คอร์เปอร์เรชั่น คือการมุ่งมั่นผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพออกสู่ท้องตลาด แล้วพัฒนาให้การรับรู้ของผู้บริโภคกับแบรนด์ ข้าวพันดี ว่าคือ ข้าวที่ดีที่สุด ที่ผ่านการคัดสรรอย่างดีจากมืออาชีพด้านการผลิตข้าว ด้วยแนวทางนี้ จึงทำให้ ข้าวพันดี สามารถปักธงในตลาดข้าวของไทยได้อย่างทุกวันนี้
นอกจากนั้น ความสำเร็จของข้าวพันดีในวันนี้ยังมาจากการวางกลยุทธ์ทางการตลาดที่มุ่งเน้นการลงพื้นที่ทำกิจกรรม “ชงชิม” อย่างสม่ำเสมอ เพื่อรุกเข้าหาผู้บริโภคทั่วไทย ให้ทุกคนได้ชิมข้าวของเราว่าอร่อย นุ่ม มีคุณภาพจริงๆ ถือว่าแบรนด์ ข้าวพันดี เป็นแบรนด์ต้นๆ ที่ออกทำกิจกรรมมากที่สุด ปีหนึ่งไม่ต่ำกว่า 1,000 จุดทั่วประเทศเลยทีเดียว และการตลาดนี้ยังรุกเข้าสู่กิจกรรมการขาย ไม่ว่าจะเป็น Wholesale หรือ Retail รวมถึงร้านอาหารต่างๆ จนทุกวันนี้มีร้านอาหารไปจนถึงโรงแรม ภัตตาคารชั้นนำ ใช้ข้าวพันดีอยู่มากมาย
สุดท้ายขอฝากไว้ว่า ความสำเร็จ ‘วิธีการ’ ก็สำคัญ ‘ทิศทาง’ ยิ่งสำคัญ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ‘หัวใจ’ ที่ปรารถนาความสำเร็จ